หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

TRIS7 8


ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 'บ.ทีพีไอ โพลีน' ที่ 'BBB+'เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น 'Positive' จาก 'Stable'และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ

    ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ 'BBB+' นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น 'Positive'หรือ 'บวก'จาก 'Stable'หรือ 'คงที่'ด้วย โดยการปรับดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากโรงไฟฟ้าทุกโรงของบริษัทดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ'BBB+'อีกด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้นี้ไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิม

       อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย รวมถึงแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย และกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงไปบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจปูนซีเมนต์และพลาสติก รวมถึงความเสี่ยงจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ (Refuse-derived Fuel -- RDF) อีกทั้งยังมีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของแหล่งกู้ยืมเงินอีกด้วย

 

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจปูนซีเมนต์

        บริษัทเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ โดยมีกำลังการผลิตเท่ากับ 13.5 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 23% ตามกำลังการผลิตของทั้งประเทศ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทประกอบด้วยการมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ การเติบโตในแนวดิ่ง (Vertical Intergration) ของธุรกิจผลิตปูนซีเมนต์ และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจปูนซีเมนต์นั้นมีความเสี่ยงหลายประการ อาทิ วงจรอุตสาหกรรมที่ขึ้นลง การแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้าโภคภัณฑ์ และความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาถ่านหินที่เป็นเชื้อเพลิง

 

แหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย

        สถานะเครดิตของบริษัทเกิดจากการมีแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลายจากธุรกิจหลักทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจปูนซีเมนต์ ธุรกิจพลาสติก และธุรกิจผลิตไฟฟ้า โดยในปี 2561 รายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์คิดเป็นสัดส่วน 51% ของรายได้รวม ในขณะที่ธุรกิจพลาสติกและธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีสัดส่วนประมาณ 19% และ 17% ตามลำดับ

       ธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทได้มากที่สุด โดยสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของกำไรทั้งหมด การกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจช่วยทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดโดยรวมที่มั่นคงเนื่องจากกระแสเงินสดที่มีความเสถียรจากธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นสามารถลดผลกระทบจากความผันผวนจากธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจพลาสติกลงได้

 

ธุรกิจผลิตไฟฟ้าช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจ

    สถานะทางธุรกิจของบริษัทนั้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก โดยทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีสถานะเครดิตแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาธุรกิจหลักของบริษัททั้ง 3 ประเภท ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านอุปสงค์อีกทั้งยังให้ผลกำไรที่สูงจากการได้รับส่วนเพิ่มของราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ส่งผลให้การจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. นั้นมีความมั่นคงในระยะยาวซึ่งจะช่วยยกระดับฐานกระแสเงินสดและเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอีกด้วย

      อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการมีตำแหน่งทางการตลาดที่เข้มแข็งของบริษัทในตลาดผู้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะด้วยเช่นกัน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทดำเนินการโดย บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นจำนวน 70.24% บริษัททีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าทั้งหมด 7 โรงด้วยกำลังการผลิตติดตั้งรวม 440 เมกะวัตต์ ในบรรดาโรงไฟฟ้าที่บริษัทมีอยู่ทั้งหมดนั้น จำนวน 4 โรง (180 เมกะวัตต์) มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 3 ฉบับที่จะต้องจำหน่ายกำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด 163 เมกะวัตต์ให้แก่ กฟผ. โดยได้รับ Adder ที่ 3.50 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม โรงงานทั้ง 4 แห่งนี้ใช้เชื้อเพลิงจากขยะและความร้อนทิ้งจากโรงงานปูนซีเมนต์ซึ่งมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่สูงอันเนื่องมาจากปริมาณความร้อนทิ้งและคุณภาพของขยะนั้นมีความไม่แน่นอนและสม่ำเสมอ ในส่วนกำลังการผลิตที่เหลืออยู่อีก 260 เมกะวัตต์นั้น บริษัทได้นำไปใช้ภายในสำหรับกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์

 

ผลการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัว

       ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2561 เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดปูนซีเมนต์ที่กำลังเริ่มฟื้นตัวและธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. มากขึ้น อัตรากำไรของธุรกิจปูนซีเมนต์เริ่มขยายตัวเนื่องจากราคาปูนซีเมนต์ที่เริ่มปรับตัวขึ้นในปี 2561 หลังจากลดลงในช่วงปี 2558-2560 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเป็น 36,800 ล้านบาทในปี 2561 เพิ่มขึ้นคิดเป็นประมาณ 20% จาก 30,700 ล้านบาทในปี 2560 ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทก็มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 5,900 ล้านบาทจาก 3,300 ล้านบาท อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้รวม) เพิ่มขึ้นเป็น 15.8% ในปี 2561 จาก 10.5% ในปี 2560 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ที่ 7.6 เท่าในปี 2561 จากสัดส่วนที่สูงกว่า 10 เท่าเมื่อช่วง 2 ปีก่อน

      ส่วนในด้านโครงสร้างเงินทุนของบริษัทนั้นยังคงอ่อนแอลงจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 46.9% ในปี 2561 จาก 41.7% ในปี 2560

 

คาดว่าสถานะทางการเงินจะปรับตัวดีขึ้น

       แนวโน้มในเชิงบวกสะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะดีขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ธุรกิจปูนซีเมนต์น่าจะฟื้นตัวจากแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ทริสเรทติ้ง คาดว่า ต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทจะลดลงด้วยเนื่องจากโรงไฟฟ้า 2 โรง ได้แก่ โรงไฟฟ้าถ่านหินและเชื้อเพลิงขยะขนาด 70 เมกะวัตต์กับโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 150 เมกะวัตต์จะเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ ในขณะเดียวกัน ปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ กฟผ. ก็จะเพิ่มขึ้นอีกเนื่องจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะขนาด 70 เมกะวัตต์จะเริ่มผลิตได้เต็มปีในปี 2562 นี้ นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะโรงอื่น ๆ ก็คาดว่าจะเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังจากผ่านการปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์มาแล้วหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา

       เงินลงทุนของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2562 โดยบริษัทวางแผนจะลงทุนประมาณ 7,200 ล้านบาทในปี 2562 และประมาณ 1,700 ล้านบาทในปี 2563 ในการนี้ เงินลงทุนจะใช้สำหรับการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น (1) เป็นเงินค้างชำระสำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 150 เมกะวัตต์ (2) ใช้ในการติดตั้งหม้อไอน้ำใหม่จำนวน 3 ชุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโรงไฟฟ้า และ (3) ใช้ซื้อที่ดินสำหรับโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม

      นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทภายใต้การดำเนินงานของบริษัททีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ นั้นก็กำลังอยู่ในช่วงประมูลโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 2 แห่งของกรุงเทพมหานครด้วย โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 2 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตประมาณ 20

      เมกะวัตต์ต่อโรงและจะสร้างในพื้นที่บริเวณหลุมฝังกลบขยะในเขตอ่อนนุชและหนองแขม ส่วนเงินลงทุนในแต่ละโครงการนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาท

         ในประมาณการพื้นฐานระหว่างปี 2562-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะชนะการประมูลโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะทั้ง 2 โครงการ โดยทริสเรทติ้งยังคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปีต่อ ๆ ไปแม้ว่าจะช้ากว่าที่

       ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น 6 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า ความเสี่ยงด้านลบอาจเกิดจากการฟื้นตัวของธุรกิจปูนซีเมนต์ที่ช้ากว่าที่คาดการณ์และภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าอื่นๆ อีกในอนาคต

 

การกระจุกตัวของแหล่งเงินกู้

      อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากหุ้นกู้เป็นหลักซึ่งแสดงถึงการขาดความหลากหลายของแหล่งเงินกู้ ทั้งนี้ บริษัทมีการใช้เงินทุนจากหุ้นกู้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยสัดส่วนของหุ้นกู้คิดเป็นประมาณ 80% ของยอดหนี้คงค้างรวมของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2561

         นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านการรีไฟแนนซ์ เนื่องจากบริษัทมีหุ้นกู้จำนวนมากที่จะครบกำหนดชำระในปี 2564 ทั้งนี้ บริษัทมียอดชำระคืนหุ้นกู้อยู่ที่จำนวน 7,200-7,700 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2562-2563 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 17,200 ล้านบาทในปี 2564 เพื่อที่จะชำระคืนหนี้หุ้นกู้จำนวนมากที่จะครบกำหนดในปี 2564 ให้ได้ บริษัทจะต้องใช้ความสามารถในการรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดรวมถึงต้องพึ่งพาสภาวะตลาดตราสารหนี้ที่เอื้ออำนวยเป็นสำคัญ ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีประวัติที่ดีในการเข้าถึงตลาดทุน แต่การรีไฟแนนซ์หุ้นกู้จำนวนมากเช่นนี้ก็สร้างความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญให้แก่บริษัท

 

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

•             รายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 3.5%-5.0% ในระหว่างปี 2562-2564

•             รายได้จากธุรกิจพลาสติกจะคงที่

•             รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 17% ในปี 2562 และ 3%-5% ในปี 2563-2564

•             อัตรากำไรจากการดำเนินงานโดยรวมจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 19%-20%

•             เงินลงทุน (ซึ่งรวมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่กำลังประมูลอยู่ 2 โครงการ) จะอยู่ที่ระดับ 11,200 ล้านบาทในปี 2562 ส่วนในปี 2563 จะอยู่ที่ระดับ 5,700 ล้านบาท และในปี 2564 ที่ระดับ 1,300 ล้านบาท

 

แนวโน้มอันดับเครดิต

       แนวโน้มอันดับเครดิต 'Positive'หรือ 'บวก'สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะดียิ่งขึ้นจากแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจปูนซีเมนต์และกระแสเงินสดที่ประมาณการได้ที่เพิ่มมากขึ้นจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจพลาสติกจะยังคงเดิม ในขณะที่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจต่อไปและยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม และเมื่อกระแสเงินสดแข็งแกร่งขึ้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทก็จะลดลงไปเรื่อยๆ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

      อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากธุรกิจปูนซีเมนต์ของบริษัทฟื้นตัวและโรงไฟฟ้าสร้างกระแสเงินสดจำนวนมาก รวมถึงบริษัทสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ตามแผน การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 6 เท่าได้เป็นระยะเวลานาน และบริษัทมีแหล่งการกู้ยืมเงินที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะเป็นผลบวกต่ออันดับเครดิตอาจจะเกิดจากการที่บริษัทมีภาระหนี้สินลดลงหรือมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคาดด้วยเช่นกัน

     อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทด้อยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ/หรือบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้เกินตัว การสูญเสียส่วนทุนจำนวนมากจากคดีความทางกฎหมายที่ดำเนินอยู่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญซึ่งอาจทำให้อันดับเครดิตปรับลดลงได้เช่นกัน

 

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550

บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL)

อันดับเครดิตองค์กร:             BBB+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

TPIPL197A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562  BBB+

TPIPL198A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562  BBB+

TPIPL201A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563  BBB+

TPIPL207A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563  BBB+

TPIPL208A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,205 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563  BBB+

TPIPL214A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564  BBB+

TPIPL214B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564  BBB+

TPIPL218A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564  BBB+

TPIPL221A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,530 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565  BBB+

TPIPL224A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565  BBB+

TPIPL228A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565  BBB+

TPIPL234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,645 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566  BBB+

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี       BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต:           Positive

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com

ติดต่อ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

       บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อ         ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!